วันที่ 3 กันยายน 2564 ศูนย์กู้ภัยสว่างสระบุรี ได้รับแจ้งจากพลเมืองดีว่ามี ชายปีนขึ้นไปอยู่ที่หลังอาคารสำนักงานสรรพากร จังหวัดสระบุรี โวยวายเพื่อจะกระโดดลงมาฆ่าตัวตาย เจ้าหน้าที่กู้ภัยสว่างจึงได้ไปตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุ พบ ชายคนดังกล่าวปีนขึ้น ไปอยู่หลังตึกอาคารสูงถึง 3 ชั้น

จึงได้ทำการเกลี่ยกล่อมให้ชายคนดังกล่าวลงมา แต่ชายคนดังกล่าวบอกว่า ขอโทรศัพท์คุยกับแฟนก่อนและก็บอกอีกว่าขอคุยกับน้าก่อน ลักษณะพูดจาไม่ค่อยรู้เรื่องวกวนไปมา เหมือนมีอาการหลอนหรือคุ้มคลั่ง จึงได้แจ้งไปยัง เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองสระบุรี พร้อมกับ นายวราวุฒิ แก้วเดช ปลัดป้องกันอำเภอเมืองสระบุรี อายุ 30 ปี และเจ้าหน้าที่ป้องกันของอำเภอเมือง มาทำการช่วยกันเกลี่ยกล่อมเพื่อให้ชายคนดังกล่าวลงมาจากตึก 3 ชั้น


แต่ก็ไม่เป็นผล กลัวว่าจะพลาดท่าตกลงมา เพราะชายคนดังกล่าวมีอาการอ่อนเพลีย คุ้มคลั่งอย่างเห็นได้ชัดจึงต้องขอรถกระเช้าจากเทศบาลเมืองสระบุรี เพื่อจะส่ง นายวราวุฒิ (ปลัดอำเภอ)ขึ้นรถกระเช้าไปเกลี่ยกล่อมเพื่อนำตัวชายคนดังกล่าวลงมา กว่าจะลงมาได้ก็ต้องมีการต่อลอง ขออย่าให้ตำรวจยัดยาบ้าและอย่าให้ใครทำร้าย และขอให้ไปส่งที่บ้าน


ทางปลัดได้รับปากประกันว่า เรื่องที่ขอมาจะไม่เกิดขึ้นจะไม่มีคนทำร้าย แต่ชายคนดังกล่าวก็ยังโยกเยกขอโทรศัพท์คุยกับน้าสาวอายุประมาณ 40 ปี และต้องให้ปลัดคุยกับน้าว่าตนเองต้องปลอดภัย และชายคนดังกล่าวก็ยังพูดวกวนอีกว่า ตนเองขับรถมาจากอยุธยาจะไปหาแฟนเก่าที่ลพบุรีแต่มาอยู่สระบุรีตรงนี้ได้ยังไงตนเองยังงงอยู่ ด้วยความสามารถของปลัดจึง ได้เกลี่ยกล่อม จนชายคนดังกล่าวใจอ่อนตามมาด้วยการประกันไม่ให้มีคนร้าย จึงขึ้นรถกระเช้ายอมลงมาแต่โดยดี พอถึงพื้นดินมีเจ้าหน้าที่กู้ภัยสว่างเข้าไปเพื่อจะนำตัวขึ้นรถ แต่ชายคนดังกล่าวได้ดิ้นไม่ยอมให้เจ้าหน้าที่จับขึ้นรถ ได้ร้องขอความช่วยเหลือ แต่เจ้าหน้าที่จึงได้ช่วยกันหามขึ้นรถเข็นและส่งขึ้นรถตู้เพื่อนำไปส่งโรงพยาบาลสระบุรี ใช้เวลาในการเกลี่ยกล่อม ตั้งเวลา 21.00 น. – 00.30 น. รวม 3 ชั่วโมงกว่า


สาเหตุที่ชายคนดังกล่าวที่ปีนขึ้นไปอยู่ข้างบนตึก 3 ชั้น ทราบว่าเมื่อตอนเย็นได้ไปซุกซ่อนอยู่หลังเทศบาลเมืองสระบุรี แถวๆรถดับเพลิง ได้มีเจ้าหน้าที่เห็นได้ถามว่ามาทำอะไร แต่ชายคนดังกล่าวไม่พูดจา และได้วิ่งตรงไปทางอำเภอเมืองสระบุรี

จนทราบข่าวมาได้หลบขึ้นไปอยู่หลังสำนักงานสรรพากร ตึก 3 ชั้น อยู่หลังอำเภอเมือง ทราบชื่อชายคนดังกล่าว นายธนกฤต สร้อยคำ อายุ 31 ปี ภายในตัวมีเงินสดประมาณ 2,840 บาท พร้อมบัตรเอทีเอ็ม และบัตรประชาชน อย่างละ 1 ใบ เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้เก็บไว้เป็นหลักฐาน ส่วน นาย ธนกฤต ต้องรอให้แพทย์ตรวจว่าเป็นโรควิกลจริตหรือคุ้มคลั่งกันแน่ แต่ถ้าตรวจในร่างกายแล้วเจอสารเสพติด ก็จะส่งไปบำบัดและรักษาตัวต่อไป.

ดาริน พิมมะศร ภาพข่าว รายงาน